เรื่องเด่น บรรยายถวายความรู้แก่พระวิปัสสนาจารย์ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 มีนาคม 2025.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549


    บรรยายถวายความรู้แก่พระวิปัสสนาจารย์ ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด
    ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔
    โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

    ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมแห่งที่ ๒
    หมู่ที่ ๑ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    วันอังคารที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: พฤหัสบดี เวลา 20:05
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ขอถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีวิสุทธิวงศ์, ดร. (สุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ. ๙) รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ตลอดจนกระทั่งขอโอกาสพระวิปัสสนาจารย์ที่เข้ารับการอบรมทุกรูป มีหลวงพ่อสุพจน์ (พระครูสุนทรกาญจนาคม) เป็นต้น เป็นประธาน

    กระผมพระครูวิลาศกาญจนธรรมครับ ส่วนใหญ่เข้าเรียก "หลวงพ่อเล็ก"กัน วันนี้ได้รับเกียรติจากทุกท่านให้มาบรรยาย ก็น่าจะไม่ถึง ๒ ทุ่มตามกำหนดการครับ ว่าจะเหลือเวลาให้พวกเรา เผื่อที่จะสอบถามอะไรกันบ้าง

    ท่านทั้งหลายครับ พระวิปัสสนาจารย์ของเรานั้น ตั้งแต่ชื่อก็สร้างภาระหนักให้กับพวกเราแล้ว วิ เป็นคำอุปสรรค แปลได้ว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง แตกต่าง, ปัสสนา แปลว่า การรู้เห็น, อาจารย์ ผู้เป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา ก็แปลว่าท่านทั้งหลายก็คืออาจารย์
    ซึ่งรู้เห็นธรรมอย่างแจ่มแจ้งผู้เป็นแบบอย่างกับคนอื่น แค่ชื่อก็ตายแล้วครับ..!

    ท่านทั้งหลายครับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ฝากภาระธุระในพระพุทธศาสนาเอาไว้กับบริษัททั้ง ๔ ก็คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านลองนึกว่าถ้าองค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราเป็นรถยนต์ ตอนนี้แทบจะวิ่งล้อเดียวแล้วนะครับ..! เพราะว่าภิกษุณี พี่สาวน้องสาวของเราไม่มี จะสงเคราะห์แม่ชีเข้ามาแทนก็ทดแทนกันไม่ได้ เพราะว่าความต่างของศีลมีมหาศาลเลย ก็คือ ๓๑๑ ข้อกับ ๘ ข้อเท่านั้น..!

    ส่วนอุบาสก อุบาสิกา ปัจจุบันนี้แทบไม่ต้องหวังครับ อุบาสกท่านก็เห็นอยู่ ไปตื่นธรรมกันซะแล้ว..! อุบาสิกายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ส่งบรรดาลูกศิษย์มา "ติดเบรก" พวกเราอยู่ประจำ "สวดศพไม่ได้บุญ พาคนตายให้ลงนรก" "บวชหน้าไฟไม่ได้บุญ มีแต่จะลงนรก" ไม่รู้ไปเอาความคิดเหล่านี้มาจากไหน ? ก็ขอให้คุณยายท่านอายุยืนไปกว่านี้ เพื่อที่จะได้แก้ไขทิฏฐิของตนให้ถูกต้องด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภาระใหญ่ของพระพุทธศาสนาตกอยู่บนบ่าของพวกเรา ท่านทั้งหลายที่ศึกษามา โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วันแรกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระเถระ ๖๐ รูป ออกประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ตุมเหปิ ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ เย ทิพพา จะ เย มะนุสสา เป็นคำกล่าวที่ต้องบอกว่า "อหังการสุด ๆ" แต่ก็เป็นความจริงนะครับ..!

    มุตตาหัง ภิกขะเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้ว

    สัพพะปาเสหิ จากบ่วงทั้งปวง

    เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ทั้งที่เป็นของทิพย์ และเป็นของมนุษย์

    ตุมเหปิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย แม้แต่พวกเธอด้วย

    สัพพะปาเสหิ ก็พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว

    พระพุทธเจ้าส่งบุคคลออกประกาศพระพุทธศาสนาด้วยการศึกษาครบถ้วน และเข้าถึงอย่างสุดยอดแล้ว แล้วท่านทั้งหลายลองนึกถึงพวกเราสิครับ ต้องขับเคลื่อนองค์กรพุทธบริษัท ๔ ไปด้วยล้อเดียวยังไม่พอ มีใครกล้าพูดไหมครับว่าตนเองพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ? จึงเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสมาก

    แล้วหน้าที่ที่พระองค์กำหนดให้ละครับ หนักกว่านั้นอีก จะระถะ ภิกขะเว จาริกัง พะหุชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ ขอเธอทั้งหลายจงจาริกไป อย่าแปลว่าจงเที่ยวไปนะครับ มีมหาเถระอยู่รูปหนึ่งที่คุ้นเคยกับผม เที่ยวเตลิดเปิดเปิงทั้งปีทั้งชาติครับ จำพรรษาปีละ ๑ ประเทศ ไม่รู้จะเอาเกียรติประวัติไปถึงไหน ? เขาบอกพระพุทธเจ้าบอกให้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ผมต้องเที่ยว..! ไอ้นั่นตั้งใจแปลผิด หรือว่าแปลผิดแต่แรกก็ไม่รู้ !?

    ท่านบอกว่า พะหุชะนะหิตายะ เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก พะหุชะนะสุขายะ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก โลกานุกัมปายะ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ท่านทั้งหลายครับ เราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ? เราก็ต้องมาดูในโอวาทปาฏิโมกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้เราสั่งสอนญาติโยมว่า

    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ให้ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง

    กุสะลัสสูปะสัมปะทา ต้องสร้างความดีให้ถึงพร้อม

    สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง ชำระจิตของตนให้สะอาดผ่องใส

    คราวนี้ถ้าเราจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ต้องยึดหลัก ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เราจะไปสอนญาติโยมเขาว่าให้เว้นจากความชั่วทั้งปวง แล้วเราเว้นไหมครับ ? ผมนี่เดินเข้าตลาดแต่ละที ไอ้สิ่งที่รำคาญหูที่สุดก็คือ "หลวงพ่อ..ซื้อหวยสักชุดสิคะ" แล้วผมก็ดันเจอไอ้ประเภทนุ่งห่มแบบเราไปยืนล้อมแผงหวยซะด้วย..! แล้วคิดว่าจะไปบอกเขาว่าสัพพะปาปัสสะ อะกะระณังนี่ ใครจะเชื่อละครับ ? ก็ในเมื่อต้นแบบยังเป็นอย่างคำสอนไม่ได้เลย..!

    เราก็ต้องมาดูในส่วนของประโยชน์ ๓ ครับ อัตตัตถะ ประโยชน์ส่วนตน ปรัตถะ ประโยชน์เพื่อผู้อื่น อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

    เราต้องแสวงประโยชน์ส่วนตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อน ต้องอยู่ในระดับที่มั่นคงเลยครับ ไม่อย่างนั้นแล้วกระผมเห็นมามากต่อมากด้วยกัน ก็คือตอนแรกตั้งใจจะบวชถวายชีวิต ตั้งใจจะกระทำทุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา ท้ายสุด..แค่นี้ก็ไปไม่ได้ครับ กลายเป็นหลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บำรุงบำเรอความสุขตัวเอง ต้องอยู่กุฏิทรงสเปน ติดแอร์ ติดม่านเสียรอบเลย ซักเองก็ไม่เป็น..! ถึงเวลาก็ต้องส่งร้านซักแห้ง ต้องนั่งรถหรู

    วันก่อนเพิ่งปรารภกับผม "หลวงพ่อเล็ก ถวายรถตู้ให้ผมสักคันสิ ไม่ต้องมากหรอก ราคาสัก ๔ - ๕ ล้านก็พอ" ก็เลยบอกกับท่านไปว่า "ผมยังนั่งรถตรวจการณ์เก่า ๆ อายุ ๑๐ ปีอยู่เลย" เพื่อนบางรูปก็..โทรศัพท์ออกใหม่เมื่อไร กูเปลี่ยนทุกครั้ง กูมีใช้ทุกรุ่น..! แล้วถ้าท่านคิดว่า ถ้าเราเป็นแบบอย่าง ๆ นี้ เราจะสอนญาติโยมได้อย่างไรละครับ ?

    เพราะนอกจากยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้นแล้ว ยังต้องยถาการี ตถาวาทีอีก ก็คือทำอย่างไรพูดอย่างนั้น ถ้าท่านทำได้ ทุกอย่างจะขลังเองครับ ขลังตรงที่ว่าเราไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    พระพุทธเจ้ามอบอัฐบริขารให้กับพวกเรา องค์กรพุทธบริษัท ๔ พวกเราใช้งบประมาณน้อยมากครับ มีแค่อัฐบริขารเท่านั้น สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เป็นศาสนาอันดับ ๔ ของโลก

    อันดับ ๑ ศาสนาอิสลาม อันดับที่ ๒ ศาสนาคริสต์ อันดับที่ ๓ นี่อัศจรรย์เลยครับ ศาสนาฮินดู แทบจะมีประเทศหลักนับถืออยู่ประเทศเดียว คือประเทศอินเดีย นับถือศาสนาฮินดู แต่ยอดการนับถืออยู่ ๙๐๐ กว่าล้านคน..!

    ศาสนาพุทธของเราอยู่อันดับ ๔ จำนวนคนนับถืออยู่แค่ประมาณ ๓๐๐ ล้านคนเศษนะครับ แล้วใน ๓๐๐ ล้านคนเศษ เป็นมหายานไป ๒๐๐ กว่าล้านคน..! ใช้งบประมาณน้อยสุด ๆ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างศาสนาของเราจนมั่นคง แทรกขึ้นมาเป็นอันดับ ๔ ของโลกได้นี่ต้องสุดยอดแค่ไหนครับ ?

    ในเมื่อพ่อทำได้ แล้วเราทั้งหลายที่เป็นลูกละครับ ? เจอนั่งภาวนาเดินจงกรม ๑๐ วัน จะไม่เอาแล้ว..! ไม่ได้นะครับ ทุกวันนี้เราโดนบีบคั้นมากจากสังคมรอบข้าง ตั้งความหวังไว้กับพวกเราสูงมาก สังเกตดูนะครับ ถ้าเราทำอะไรผิดโดนถล่มทันที ผู้รู้มีเยอะครับ แล้วส่วนใหญ่ก็รู้ไม่จริง..!

    วันนี้ก็มีข่าวครับ พระธุดงค์ ๒ รูป เดินนำญาติโยมผู้หญิง ๒ คน ออกธุดงค์ด้วยกัน ก็มีไอ้พวกรู้ไม่จริงเข้าไปคอมเมนท์ว่า ถ้าเป็นญาติเป็นโยมกันก็ไม่เป็นไร ใช่หรือครับ ? ภิกษุชักชวนภิกษุณีเดินทางไกล แม้ระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผู้หญิงก็ต้องสงเคราะห์เข้ากับภิกษุณีนะครับ ภิกษุณีนั่นนักบวชด้วยกัน ถือศีลพรหมจรรย์ด้วยกัน ท่านยังไม่ยอมให้ไว้วางใจ เดินทางได้แค่ช่วงบ้านเดียว แล้วเราจะไปไว้ใจชาวบ้านทั่วไปได้อย่างไรละครับ แต่คราวนี้ในเมื่อคนคอมเมนท์ความรู้ไม่ถึง แถมยังไปอวดรู้อีกต่างหาก ก็บรรลัยละครับท่าน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ท่านที่นั่งท้าวพื้นอยู่ นั่งขัดสมาธิดีกว่าครับ ภิกษุเอามือค้ำกายต้องอาบัติอยู่แล้ว เห็นใจครับ น้ำหนักเยอะ จึงนั่งยาก

    คราวนี้การที่เราจะสร้างประโยชน์ตน ก็คือทำให้ตนเองเข้มแข็งขึ้นมาก่อน ถึงจะเป็นผู้นำเขาได้ ท่านทั้งหลายเหมือนกับหัวรถจักรนะครับ รถไฟวิ่งไปข้างหน้า มีตู้เกี่ยวอยู่ข้างหลัง ยิ่งอยู่นานเท่าไร ตู้จะยิ่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ

    หลวงพ่อสุพจน์ของผม ก่อนหน้านี้ท่านก็อยู่โน่น..หนองตากยา ตอนนี้ย้ายไปอยู่ห้วยตะเคียน ผู้บังคับบัญชาจับวางตรงไหน กูไปตรงนั้น ญาติโยมก็ตามไปกวนตรงนั้น ท่านบอกกับผมว่า "มาที่นี่ถือว่าพักผ่อน ได้หนีจากไอ้พวกที่มาหากันไม่เว้นแต่ละวันเสียที" ยิ่งนานไป พวกตู้ที่เกี่ยวพ่วงยิ่งมากขึ้น แล้วถ้าหัวรถจักรกำลังไม่ดี ไปไม่รอดนะครับท่าน..!

    กระผมเป็นคนที่หวงเวลามากที่สุด ถ้าถึงเวลาต้องปฏิบัติธรรม เช้าตี ๓ ครึ่งต้องพร้อมแล้ว แล้วที่วัดผมก็ทำวัตรเช้า ๑ รอบ ทำวัตรเย็น ๒ รอบ การสวดมนต์ทำวัตรเป็นการสร้างสมาธิวิธีหนึ่ง ยิ่งกำลังสมาธิสูงเท่าไร เราจะเข้มแข็งมั่นคงเท่านั้น แต่ถ้าอาศัยกำลังสมาธิอย่างเดียว เผลอเมื่อไรกิเลสตีกลับ เราเสียพระดี ๆ มาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น..ประมาทไม่ได้นะครับทุกท่าน

    ประโยชน์ตนสิ่งแรกเลยก็คือศึกษาเรียนรู้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะนักธรรม จะบาลี หรือว่าอ่านพระไตรปิฎก ประการที่สองก็คือ เอาแนวทางการปฏิบัติมาทำให้เกิดผล

    ท่านทั้งหลายครับ บุคคลที่เข้าถึงแม้ส่วนเสี้ยวเดียวของสมาธิ จะหล่อเลี้ยงให้ท่านทั้งหลายอยากอยู่ในผ้าเหลืองต่อไปแบบไม่รู้จบ กระผมพูดจากประสบการณ์ตัวเอง เพราะว่าตั้งใจบวชแค่ ๗ วันนะครับ ไอ้ ๓๙ ปีกว่าจะ ๔๐ ปีนี่ ตั้งใจไว้จริง ๆ แค่ ๗ วันครับ..!

    แต่คราวนี้เมื่อท่านทำสมาธิไปถึงจุดหนึ่งจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าปีติ ความอิ่มอกอิ่มใจเกิดขึ้น จะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรมครับ แต่ว่าต้องดูความพอเหมาะพอดีด้วยนะครับ เพราะว่าหลายท่าน พอถึงเวลาปีติก็โหมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ลองนึกถึงคนที่ทำงานแล้วไม่ได้พักทั้งวันสิครับ รุ่งขึ้นไหวไหม ? บางทีก็นอนแผ่ไป ๓ วัน..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ดังนั้น..คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา หรือความพอเหมาะพอดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ต้องมีความพอเหมาะพอดี แล้วมัชฌิมาปฏิปทาไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์เป๊ะนะครับ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังกาย กำลังบุญ ที่ท่านสั่งสมมาแต่อดีต

    บางคนนั่งกรรมฐาน ๓ วัน ๓ คืนสบายมาก ผมก็เคยไปนั่งแข่งกับเขามาแล้วครับ แต่ว่านั่งไปก็ด่าไป "โคตรพ่อโคตรแม่มึงจะนั่งอะไรนานขนาดนี้ เจ็บตูดฉิบหายเลย..!" เรานั่ง ๓๐ นาทีจะไม่รอดแล้ว เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องหาจุดพอเหมาะพอดีของตนเองให้ได้

    เมื่อถึงเวลา ถ้าท่านทำได้แล้ว ตำราที่ท่านศึกษามา หรือพระไตรปิฎกที่ท่านอ่าน ท่านจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องเพราะว่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้น คำพูดและตัวหนังสืออธิบายไม่ได้ครับ บาลีเขาบอกว่าเป็น"ปัจจัตตัง" คือ รู้เฉพาะตน แค่องค์ของสมาธิที่เราว่ามีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ แค่สุขตัวเดียว ท่านก็บอกได้ไม่ถูกแล้วครับว่าอาการเป็นอย่างไร เขาก็พยายามอธิบายว่า "มีความสุขสดชื่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน" แล้วเป็นอย่างไรละครับ ?

    แต่กระผมจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้ทุกท่านฟังว่า คนเราทุกคนโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาอยู่เสมอ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ร้อนด้วยไฟคือราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ ทันทีที่สมาธิท่านทรงตัวถึงระดับอุปจารสมาธิขั้นปลาย กำลังสมาธิจะกดไฟ ๔ กองนี้ดับลงชั่วคราวครับ ถ้าเราโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลง จะมีความสุขแบบไหน ? อธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ไหมครับ ? อธิบายไม่ได้หรอกครับ รู้อยู่แก่ใจ

    ดังนั้น..เรื่องของการศึกษาตำราและการปฏิบัติจึงต้องเป็นของคู่กัน เราจะเห็นว่าในพระไตรปิฎก กล่าวถึงคันถธุระ คือการศึกษาคัมภีร์ วิปัสสนาธุระ คือการปฏิบัติธรรม เพื่อให้รู้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง หรือไม่ที่เรามาสรุปกันในรุ่นหลังว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ก็คือศึกษาและนำไปทำให้เกิดผล ที่เขาเรียกกันว่าปฏิเวธ (ปะ-ติ-เว-ทะ) หรือ ปฏิเวธ (ปะ-ติ-เวด)
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท่านต้องทำตลอดชีวิตครับ โดยเฉพาะพระหนุ่มเณรน้อยของเรา ยิ่งอยู่นาน ถ้าเราตั้งใจสร้างความดี ไม่ต้องอะไรหรอกครับ หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ. ๘) อดีตเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านบอกว่า "ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา" แค่ ๔ อย่างนี้แหละครับ ถ้าญาติโยมเห็นประจำ ๆ จะเกิดศรัทธา

    คราวนี้ถ้าสั่งสมไปเรื่อย สิ่งที่เราทำกลายเป็นบารมี เมื่อกลายเป็นบารมี คนศรัทธามากขึ้น อายุกาลของท่านก็มากขึ้น กลายเป็นว่าของอื่นถ้าเก่าถ้าแก่แล้วหมดราคา แต่พระเณรของเรายิ่งเก่า ยิ่งแก่ ราคายิ่งแพง แต่สำคัญตรงที่ต้องทำดีทำถูกนะครับ

    การสร้างคุณงามความดี ครูบาอาจารย์ของกระผมบอกว่าเหมือนกับเพชร เม็ดเล็กก็ราคาสูง แต่ถ้าทำความชั่วในผ้าเหลืองก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ก็ยิ่งเหม็นมาก..!

    ดังนั้น..การที่เราจะสร้างประโยชน์ตนเพื่อให้ตนเองเข้มแข็ง เพียงพอที่จะเป็นผู้นำของชาวบ้าน ต้องทำกันชนิดที่แลกกันด้วยชีวิตครับ..!

    ท่านลองสอบถามหลวงพ่อสุพจน์ดูครับ หมายเลข ๑ ของพวกเรานี่แหละ ท่านเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนามา เขาให้นั่งกับข้ามวันข้ามคืนจริง ๆ นะครับ แล้วที่นั่งอย่างนั้น ซึ่งภาษานักปฏิบัติเขาเรียกว่า "นั่งทับทุกข์" ก็เพื่อ ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกดูว่า ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ ใช่เราหรือไม่ ? ประการที่สองก็คือ เมื่อเห็นชัดอย่างนั้นแล้ว ยังอยากได้ร่างกายนี้หรือไม่ ?
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    หลายท่านอาจจะเคยไปแสวงบุญประเทศอินเดีย แต่กระผมมั่นใจว่าน้อยท่านที่จะได้ไปพม่า กระผมโชคดีครับ ไปพม่าอยู่ ๖ ปี ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมนะครับ ไปสร้างวัด แต่คราวนี้ประเทศพม่านั้น ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับทหาร ต้องเจรจากันให้รู้เรื่องในแต่ละครั้งถึงจะลงมือทำได้

    ในระหว่างที่ทำไม่ได้ กระผมก็ตระเวนไปดูเขาเรื่อยเปื่อย ไปขอพักอยู่ที่วัดเจ้าไว เมืองมะละแหม่ง คำว่ามะละแหม่งนี่ คนไทยเรียกนะครับ ภาษาพม่าเขาว่ามอละเหมี่ยย ออกเสียงยาก มอละมาจากภาษาบาลีก็ โมร คือ นกยูง มอละเหมี่ยย ก็คือ ป่านกยูง แต่คราวนี้พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว คนไทยอ่านว่าเมาะลำเลิงบ้าง เมาะลำใยบ้าง เพราะฉะนั้น..ให้เข้าใจว่ามะละแหม่งก็ดี เมาะลำเลิงก็ดี เมาะลำใยก็ดี เป็นคำเดียวกันครับ

    กระผมเข้าไปหลวงพ่อธัมมะเสนะ รองเจ้าคณะรัฐมอญ ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณรองเจ้าคณะภาค ท่านเป็นเจ้าอาวาส จัดให้ไปพักอยู่ในโบสถ์ครับ พม่าไม่ให้ความสำคัญกับโบสถ์เลยครับ เป็นที่พัก เป็นที่เก็บของ เป็นที่ตากผ้า ไปให้ความสำคัญกับศาลาครับ ศาลาแบบหลังนี้ มีทุกอย่างเลยครับ พระพุทธรูป อาสนะ ต้องดีสุด ๆ พวกผมวิเคราะห์วิจัยกัน แล้วบอกว่า "เอาไว้อวดแขก" แต่ไม่ให้ความสำคัญกับโบสถ์เลย..!

    หลวงพ่อท่านให้ผมไปนอนในโบสถ์ ผมก็ไป ไปถึงประมาณ ๔ โมงเย็น เดินเข้าไปเจอหลวงปู่ท่านหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่หน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ พระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ นิ้วเท่านั้นครับ พอเข้าที่พักเสร็จสรรพเรียบร้อย เตรียมผ้าใหม่ได้ก็ไปสรงน้ำ หลวงปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ผมกลับมาทำวัตรสวดมนต์เสร็จสรรพ นั่งสมาธิต่อ ๒ ทุ่มกว่าเกือบ ๓ ทุ่ม ออกไปปัสสาวะ หลวงปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ผมนอนตะแคงสีหไสยาสน์ ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ ว่าไปเรื่อย ตี ๒ ลุกไปเข้าห้องน้ำ หลวงปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น..!

    ตี ๔ เขาเคาะระฆังให้ไปบิณฑบาต กระผมออกบิณฑบาต หลวงปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น พระพม่าเขาบิณฑบาตกันตอนตี ๔ นะครับ บิณฑบาตเอาไว้ฉันเช้า หลังฉันเช้าแล้วออกบิณฑบาตอีกรอบหนึ่ง เพื่อเอาไว้ฉันเพล ออกบิณฑบาตเช้ากลับมา หลวงปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ขออนุญาตหลวงพ่อธัมมะเสนะ วันนี้กระผมจะไปที่นั่นที่นี่ นั่งรถไปตะลอนอยู่ครึ่งค่อนวัน กลับมาหลวงปู่ท่านก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเลยครับ ไหวไหมครับท่าน ? เขานั่งกันอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ..!
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ดังนั้น..ครั้งแรกที่กระผมไปด้วยทัศนคติไม่ดีว่าพระพม่าที่เคร่งครัดไม่มีเลย เนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้วคลุกคลีตีโมงอยู่กับผู้หญิงครับ แล้วผู้หญิงพม่าก็ไม่ถือสาด้วยนะครับ เขาเห็นเราเป็นตัวบุญ ถึงเวลาก็ลูบ ๆ คลำ ๆ เลย เหมือนอย่างกับว่าคลำแล้วบุญจะติดมือไปบ้างอย่างนั้น..! ถ้าหากว่าท่านจะไปซื้อของ เดินเข้าร้านเขาแล้ว ต่อราคาแล้วไม่ซื้อ พอจะเดินออก แม่ค้าดึงแขนกลับเข้าไปคุยใหม่เลยนะครับ..ระวังให้ดี..!

    กระผมโดนผู้หญิงพม่านั่งตักมาแล้ว ตอนแรกก็ว่าทำไมพระพม่าไม่สำรวมเลย ขึ้นรถเมื่อไร ตะกายขึ้นหลังคากันหมด วันนั้นหารถออกจากเมืองพะยาจีจะไปไจ๊โท จะขึ้นไปกราบพระบรมธาตุอินทร์แขวน พอเห็นรถสองแถวมากระผมก็โบก เพื่อนพม่าบอกว่า "อาจารย์ ข้างหน้าไม่ว่าง" ก็เลยบอกเขาว่า "เอาสะดวกเถอะ อย่าเอาสบายเลย นั่งข้างหลังก็ได้" ไอ้ท่านนั่นก็ไม่พูดสักคำ ผมก็ขึ้นไป ญาติโยมก็ขยับซ้าย ขยับขวา มีที่พอว่างได้ก็หย่อนก้นลงนั่ง

    ป้ายต่อไปเท่านั้นแหละครับ..ได้เรื่อง..! โยมผู้หญิงขึ้นมา ๓ คนมองซ้ายมองขวา สบายที่สุดก็พระเป็นที่พึ่งแหละครับ นั่งตักเลย ผมก็หดพรวดเลย หลังชนข้างฝา เขายังหันมามองค้อน ประมาณว่านั่งแค่นี้ทำเป็นตกใจ..?!

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมซาบซึ้งเลยครับ ว่าทำไมพระพม่าถึงขึ้นหลังคากัน ? ถึงเวลาผมก็ตะกายขึ้นหลังคาบ้าง จะให้ไปพองหนอ ยุบหนอ ไม่ไหวหรอกครับ ไม่ยุบเลย..ขายหน้าเขา..! ในเมื่อไปในลักษณะนั้นก็เลยคิดว่า "พระพม่าที่เคร่งครัดไม่มี" แต่ความจริงเราไม่มีประสบการณ์ที่ได้เจอพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างหาก

    ท่านที่เป็นสำนักปฏิบัติที่เขาต่อท้ายชื่อวัดด้วยตอย่า ตอย่าก็คือวัดป่าครับ ตอก็ป่า จันตอก็ป่าอ้อย ไปอยู่พม่าหลายปีพอจะขอข้าวเขากินได้ ของพม่าไม่มีการเดินธุดงค์นะครับ ปฏิบัติตามวัดป่า แล้วเจ้าประคุณเถอะ..แต่ละวัด อย่างวัดพะอ๊อกที่มะละแหม่ง ตอนผมเข้าไปเป็นช่วงที่คนน้อยนะครับ พระอยู่ปฏิบัติเกือบ ๑๕๐ รูป ท่านที่ทุ่มเทก็ทุ่มเทจริง ๆ ครับ กระผมถึงได้เข้าใจว่า ไม่ว่าพระไทยพระพม่าก็มีที่เคร่งครัดและไม่เคร่งครัดเหมือนกัน
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    เพียงแต่ของพม่านี่เขาชัดเจนนะครับ ถ้าหากว่ามาสายปริยัติจะมีคำว่าสัทธัมมะโชติกะ ก็คือสัทธัมมะโชติกะธะชะ ผู้เป็นธงแห่งธรรม ถ้าหากว่ามีแค่นี้ สอนได้เฉพาะในเขตจังหวัดตัวเองครับ ถ้ามหาสัทธัมมะโชติกะธะชะ สอนได้ทั้งภาคครับ ถ้าอัคคะมหาสัทธัมมะโชติกะธะชะ สอนปริยัติได้ทั้งประเทศ..!

    ถ้าเป็นสายปฏิบัติก็มีครับ จะเป็นกัมมัฏฐานาจะริยะ สอนได้เฉพาะในจังหวัด ถ้ามหากัมมัฏฐานาจะริยะ สอนได้ทั้งภาคครับ ถ้าอัคคมหากัมมัฏฐานาจะริยะสอนได้ทั้งประเทศ แล้วเราลองเอาตัวไปเปรียบกับท่านดูสิครับ ประเภทนั่งกรรมฐานข้ามวันข้ามคืนแบบนั้น เราทำได้ไหม ?

    พระพม่าปริยัติกับปฏิบัติยังเป็นของคู่กัน เบื้องต้นเลย เขาเรียนธัมมะจริยะ แบ่งออกเป็น ๘ ชั้น คล้าย ๆ กับเปรียญธรรมของเรา จบมาแล้ว ถ้าเทียบบ้านเราก็ประโยค ๙ ต้องเข้ากรรมฐาน ๔ เดือนนะครับ ถึงจะถวายเกียรติบัตรหรือปริญญาบัตรให้ ยืน ๑ เดือน นั่ง ๑ เดือน นอน ๑ เดือน เดิน ๑ เดือน จะเลือกแบบไหนก่อนก็ได้ ถ้าเป็นกระผมก็เลือกนอนเอาเดือนสุดท้ายครับ..!

    จบจากนั้นแล้วท่านยังต่ออีกนะครับ ไปเรียนบาลีปารคู ใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน เจอหน้าก็ "เฮ้..ตุ๊ดัมมะ นุสสะระณามิ เม" กระผมฉายาสุธัมมะครับ สุธมฺมปญฺโญ ไปที่โน่นท่านเรียก "ตุ๊ดัมมะ..ตุ๊ดัมมะ"

    ภาษาพม่าออกเสียงแปลกมากครับ ส.เสือ ออกเสียงเป็น ต.เต่า ส่วน ต.เต่า ออกเสียงเป็น ส.เสือ ติริยาดานะ ก็คือสิริระตะนะ เห็นหรือยังครับ ว่าตัว ส.เสือ (สิริ) ออกเสียงเป็น ต.เต่า (ติริ)

    ในเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การศึกษาของพม่าเข้มข้นกว่าเราหลายเท่าครับ กระผมอยากจะบอกว่าเราเทียบไม่ติดเลยก็ใช่ที่ เพราะของเราจบประโยค ๙ แล้ว ถ้าไม่มาเรียนทางโลก ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็ไปต่อไม่ได้ ของพม่าไปได้ครับ มีบาลีปารคูคอยรอรับอยู่ บาลีปารคู คือ ผู้ถึงฝั่งแห่งบาลีครับ ใช้ในชีวิตประจำวันเลย
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ถัดจากนั้นยังมีผู้ทรงพระไตรปิฎกอีกครับ ต้องท่องพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้นะครับ หลวงปู่ภัททันตะ วิจิตตะ สาราภิวังสะ มิงกุนสะยาดอ เป็นผู้ที่ได้รับการบันทึกลง Guinness World Records ว่าเป็นบุคคลที่มีความทรงจำเลิศที่สุดในโลก จำข้อมูลได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ หน้ากระดาษ A4 ซึ่งก็คือพระไตรปิฎก

    แต่ผมว่าคอมพิวเตอร์สู้หลวงปู่ไม่ได้นะครับ ถ้าท่านยกบาลีมาประโยคหนึ่ง คอมพิวเตอร์จะส่งประโยคใกล้เคียงมาให้หมด แต่ของหลวงปู่ถ้ายกประโยคนั้นขึ้นมา ท่านจะบอกเลยครับข้างหน้าคืออะไร ? ข้างหลังคืออะไร ? อยู่หน้าไหนของพระไตรปิฎก เสียดายที่ท่านมรณภาพไปแล้วครับ

    ท่านที่ทรงพระไตรปิฎกนี้จะมีคำต่อท้ายว่าตรีปิฎกธรบัณฑิต ตรีปิฎกธร (ตรี -ปิ-ดก-ทอน) ก็คือผู้ทรงพระไตรปิฎก กระผมตั้งใจไปดูจริง ๆ ครับ เขามีสอบทุกปี ไปดูอยู่ ๕ ปี แต่ละปีสอบ ๓๐ กว่า ๔๐ รูป ให้เวลา ๑ เดือน แต่ละคนที่เข้าสอบจะมีพระเถระรูปหนึ่งคอยทวนตำรา มีฆราวาสที่เคยจบประโยคสูง ๆ อย่างเช่นจบธัมมจริยะแล้ว คอยทวนอยู่ด้านข้าง ก็แปลว่า ๑ ต่อ ๓ ครับ

    ท่านนั่งท่องไปเถอะ ถ้าหากว่าถึงตรงไหนหมดสภาพแล้ว ก็ชักจีวรคลุมหัวนอนเลยครับ เขาก็จะขีดเอาไว้ว่าไปถึงตรงไหน ถ้าจะเข้าห้องน้ำ ฆราวาส ๒ คนคุมไปครับ ไม่ให้ท่านไปเข้าคนเดียวนะครับ เขากลัวจะไปแอบเปิดตำราดู กลับมาก็ท่องต่อ ได้เวลาอาหารมาประเคน ฉันเสร็จจะนอนก่อนก็ได้ จะท่องต่อก็ได้ไม่มีใครว่า เสียดายมากครับ ไปดูอยู่ ๕ ปี ตกเรียบทุกปี..!

    แต่มีพระไทยรูปหนึ่งอยู่สำนักมหากันตะยง ตอนหลังเขาเห็นว่าการท่องรวดเดียว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เป็นเรื่องยาก เขาให้เก็บได้ทีละปิฎก จะเริ่มวินัยปิฎกก็ได้ สุตตันตปิฎกก็ได้ อภิธรรมปิฎกก็ได้ พระไทยรูปนั้นเก็บวินัยปิฎกได้แล้วครับ

    ปัจจุบันนี้มีพระที่เป็นตรีปิฎกธรบัณฑิตอยู่ทั้งหมด ๙ รูปพอดีครับ เหลือแค่นี้ เพราะว่าหลวงปู่ชฏิละ ที่ผมรู้จักคุ้นเคยที่วัดชุยยีเซา อยู่ด้านหลังหลวงพ่อมหาเมี้ยตมุนี ไปเมื่อไรผมก็จะไปพักอยู่กับท่าน นั่นก็คือรุ่นแรกที่ท่องทีเดียว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ครับ ไปใหม่ ๆ นี่สัมภาษณ์ผมแหลกลาญเลยครับ ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? ศึกษาอะไรมาบ้าง ? วัดวาอารามอยู่ใกล้ไกลบ้านช่องหรือเปล่า ? ก็กราบเรียนท่านไปตามความเป็นจริง
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ท่านถามว่า "อาหารการขบฉันเพียงพอไหม ?" กราบเรียนท่านว่า "เหลือเฟือครับ พี่น้องมอญพม่าทำบุญใส่บาตรกันดีมาก" ท่านถอนใจครับ ท่านบอกว่า "ผมทรงพระไตรปิฎก เป็นครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง บิณฑบาตได้แค่พอฉันเช้าเท่านั้น ตอนเพลต้องหุงข้าวกินเอง..!" ท่านบอกว่า "พระไทยทั้งหมดโชคดีสุด ๆ แล้ว คุณอยู่ในประเทศที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศาสนูปถัมภ์ อยู่ในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ไม่มีสงคราม" ทุกท่านรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไหมครับ ?

    ทุกวันนี้เราอาศัยญาติโยมเลี้ยงเรา วัดท่าขนุนของผมนี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เจ็บไข้ได้ป่วยจนไม่ไหวจริง ๆ ต้องบิณฑบาต อายุเกิน ๖๐ ปีไปแล้วถึงอนุโลมให้ว่าไม่ต้องบิณฑบาต แต่ต้องอยู่เวรยาม ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ แค่ไปเดินให้เขาเห็นว่ามีคนอยู่ จะได้ไม่เข้ามาขโมยของ..!

    บางทีกระผมเห็นพระเณรเลือกฉันครับ ผมก็ดุเอา..! ข้าวถุงหนึ่ง แกงถุงหนึ่ง น้ำถ้วยหนึ่ง รู้ไหมครับว่าเขาขาย ๖๐ บาท ? กว่าจะทำงานได้เงิน ๖๐ บาทมาซื้ออาหาร ลำบากแค่ไหนครับ ? ไม่ใช่ญาติโยมถวายมา กูไม่ชอบก็เหวี่ยงข้างไปเลย ภิกษุเราต้องเป็นผู้เลี้ยงง่ายนะครับ ชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราต้องทำตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย

    ที่กระผมว่ามาถึงตรงนี้ เพื่อที่ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า สถานการณ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น ในประเทศไทยถือว่าดีมาก ๆ ประเทศจีนตอนนี้ถือว่ามีศาสนิกที่เป็นพุทธมากที่สุด คือ ๒๐๐ กว่าล้านคน ส่วนใหญ่เป็นมหายานนะครับ แต่ว่าประเทศจีนไม่ได้สนับสนุนให้คนเข้าวัดในลักษณะไปศึกษาธรรม สนับสนุนให้คนไปเที่ยววัดครับ ก็แปลว่าวัดในประเทศจีนส่วนใหญ่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับสารพัดการหาเงิน ท่านเข้าไปจะวัดใหญ่วัดเล็กก็ตาม ถึงเวลาจะชมอะไรก็ตาม ทางออกจะมาผ่านร้านขายของที่ระลึกเสมอ ทุกวัดต้องจัดแบบนั้น

    ตอนนี้ประเทศเวียดนามออกมาแนวเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นวัดมหายาน สนับสนุนให้เป็นแหล่งเที่ยว วัดใหญ่ ๆ ที่กระผมไปมา อย่างวัดตามจุ๊ก ใหญ่ขนาดไหน ? นั่งเรือไป ๒๐ นาทีนะครับ ผ่านทะเลสาบ ขึ้นไปแล้วเดินขาลากอีกเป็นชั่วโมงยังไม่ทั่ววัดเลย..! นั่นก็สนับสนุนวัดเป็นแหล่งเที่ยว ไม่อย่างนั้นแล้วรัฐบาลไม่ต้องการให้มี..!
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ประเทศลาวสถานการณ์ไม่ค่อยดี ค่าเงินตกมหาศาลเลย ปัจจุบันนี้แลกกันแบบกันเอง ๆ นะครับ บาทหนึ่งก็ ๖๐๐ กีบ กระผมไปนึกถึงสมัยก่อนที่ไปใหม่ ๆ ครับ บาทหนึ่ง ๔๑ - ๔๒ กีบ แล้วก๋วยเตี๋ยวลาวชามละ ๔๐ กีบ โอ้โห..กินได้สะใจมาก แล้วคิดดูสิครับ ไม่กี่ปีไปไกลขนาดนั้น..!

    ประเทศกัมพูชาแตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย ก็คือธรรมยุตกับมหานิกาย ธรรมยุตไปจากเมืองไทยครับ ศึกษาไปจากวัดบวรฯ บ้าง วัดบรมนิวาสบ้าง กลับไปก็ไปตั้งนิกายธรรมยุต เกิดสงครามกลางเมืองฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตายไป ๒ ล้านกว่าคน พระภิกษุต้องหนีตายมาอยู่เมืองไทย..!

    หลวงพ่อสมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดี (เทพวงศ์) สมเด็จพระสังฆราชฝ่ายมหานิกาย ปะทะคารมกับผมอย่างมันมาก..! ท่านหนีมาอยู่เมืองไทย ๒๐ กว่าปี กว่าจะกลับไปได้ เพิ่งจะมรณภาพไป น่าจะปีหรือสองปีที่ผ่านมา ผมไปถึงนี่โดนใส่ก่อนเลย ชี้หน้าเลย "นี่ถ้าไม่ใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมจะไม่ต้อนรับคณะของท่านเลย"

    ถามว่า "อะไรครับหลวงปู่ ?" "ไอ้รัฐบาลที่ผ่านมา.." ไม่ต้องพูดถึง ลองไปดูว่าก่อนยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลชุดไหน "มันหาเรื่องประเทศเรา..!" ผมก็บอกกับท่านว่า "หลวงปู่..ไอ้เรื่องข่าวพวกนี้ เป็นไปได้ไหมว่า รัฐบาลเขาจะออกข่าวเพื่อดึงกำลังใจของคนให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงก็ต้องหาศัตรู วิธีง่ายที่สุดก็คือโยนขี้ให้ประเทศไทย..!" ท่านบอกว่า "ผมดูข่าวทุกวัน..ผมรู้" อ้าว..เป็นซะอย่างนั้น ไอ้ล่ามนี่สะกิดยิก ๆ "อาจารย์..ถอยเถอะ ๆ" ถอยไม่ได้ครับ ตีกันให้ตายอยู่ตรงนี้แหละ..! กว่าจะเคลียร์กันรู้เรื่อง ผมเถียงทุกเม็ดเลยครับ..!

    แต่ว่าสมเด็จพระอภิสิริสุคนธามหาสังฆราชาธิบดี (บัวคลี่) สมเด็จพระสังฆราชฝ่ายธรรมยุต สไตล์เดียวกับธรรมยุตบ้านเรา ก็คือเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ้มเย็น ทักทาย "พรรษาเท่าไร ?" ถ้ามากกว่าท่านก็กราบเรา เราน้อยกว่าก็กราบท่าน ทุกวันนี้ประเทศกัมพูชาหนักกว่าลาวอีก เศรษฐกิจตกสาหัสเลยครับ แบงค์กัมพูชาถ้าเราจะใช้ ตัดศูนย์ออกไป ๒ ตัวนะครับ สมมติว่า ๑,๐๐๐ ก็เหลือ ๑๐ ใช้ง่ายที่สุด..!

    ประเทศพม่าไม่ต้องห่วงครับ พอถึงเวลาก็ปราบคนประท้วง ถ้าพระประท้วงเขาก็ยิงเลย..! แล้วลองดูสิครับว่ารอบบ้านเราเป็นอย่างไร ? หลวงปู่ชฏิละถึงได้บอกว่า "พวกท่านโชคดี มีพระมหากษัตริย์อุปถัมภ์ ประเทศไม่มีสงคราม ญาติโยมใส่ใจทำบุญ"
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    คราวนี้เมื่อโยมเลี้ยงเรา แล้วเราเอาอะไรตอบแทนครับ ? พุทธบริษัท ๔ แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายนะครับ ก็คือ อนาคาริกะ (ผู้ไม่ครองเรือน) คือภิกษุและภิกษุณี อาคาริกะ (ผู้ครองเรือน) คืออุบาสก อุบาสิกา

    ผู้ครองเรือนเวลาปฏิบัติธรรมมีน้อยครับ จึงสนับสนุนผู้ไม่ครองเรือนด้วยปัจจัย ๔ เมื่อท่านมีเวลามาก เร่งปฏิบัติไปให้ถูกทาง แล้วกลับมาบอกทางถูกให้แก่ญาติโยม คนที่ทำหรือว่าผ่านทางไปแล้ว ถึงเวลาบอกจะง่าย ดังนั้น..พุทธบริษัท ๔ จึงต้องอนุเคราะห์สงเคราะห์กัน แต่ปัจจุบันนี้บ้านเราเล่นผิดบท ประมาณว่า "หัวดำอยากสวด หัวล้านอยากร้อง" ไปคนละทิศเลยนะครับ

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราจะสร้างประโยชน์ตนให้มั่นคงพอ เพื่อที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ท่าน ก็คือช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมได้ ในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องยาก คณะสงฆ์ถึงได้กำหนดงานขึ้นมา ๖ ด้าน โดยเฉพาะสาธารณสงเคราะห์ อะไรที่พอช่วยสนับสนุนญาติโยมได้ ทำไปเลยครับ อย่าทำแบบวัดผม ของผมมีมากผมให้มาก แต่ท่านทั้งหลายมีน้อย ไม่ใช่ไม่ให้นะครับ ให้ตามน้อย ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ถึงเวลาก็ไปเยี่ยมครับ ญาติโยมป่วยติดเตียงก็มี แก่จนมาวัดไม่ไหวก็มี

    ตัวอย่างชัดเจนที่สุด หลวงปู่อวยพร (พระครูปฐมวราจารย์) วัดดอนยายหอมครับ ท่านอายุ ๘๓ ปีแล้วนะครับ เดินเยี่ยมโยมทั้งตำบล..! ทำแบบนั้นตลอด พวกเรามัวแต่นั่งรอโยมอยู่ในวัดหรือเปล่าครับ ?
    การเผยแผ่พุทธศาสนาจะตั้งรับอยู่ในวัดอย่างเดียวไม่ได้นะครับ

    ทองผาภูมิของกระผมนี่ เรือนจำทองผาภูมิสามารถรับนักโทษได้ ๙๐๐ คน เขายัดเข้าไป ๑,๖๐๐ คนครับ..! กว่าจะเข้าไปได้แต่ละที ประตู ๔ ชั้นครับ ค้นตัว ยึดโทรศัพท์ ยึดทุกอย่างที่อาจจะก่ออันตรายได้ เข้ายากขนาดนั้นดันเข้าไปจนล้นครับ แต่วัดท่าขนุนไม่มีรั้วครับ ไม่มีประตู เข้าได้ทุกทิศเลย แต่เข้าวัดกันน้อย..!
     
  16. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    ทิศตะวันออก ประตูใหญ่ ๒ ประตู ทิศตะวันตกก็สะพานข้ามแม่น้ำ ทิศเหนือ ถนนหมู่บ้านครับ วิ่งผ่านวัดเลย ทิศใต้ก็สะพานข้ามลำรางสาธารณะ ที่กระผมพาพระออกบิณฑบาตทุกวัน เปิดโล่งทุกทิศ แต่คนไม่ค่อยเข้าครับ ส่วนไอ้ที่ปิดไม่ต้อนรับ ไปเข้ากันจัง..! สรุปว่าเราน่าจะสอนผิด หรือไม่ก็ทำผิด ว่าทำไมโยมไม่เข้าวัด ?

    เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสร้างประโยชน์ตน ด้วยการปลูกศรัทธา สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ทำให้เป็นปกติ เราอยู่ในสายตาชาวบ้านตลอด ทำดีร้อยครั้ง เขาจะชมสักครั้งก็ยาก แต่ถ้าพลาดครั้งเดียว โซเชียลถล่มจมดินเลยนะครับ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ดีที่สุดของเราคือสร้างตนให้มั่นคง แล้วอย่าอยากดังครับ ทำหน้าที่เพราะว่าเป็นหน้าที่ โยมให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์เรา ถึงเวลาเราก็สั่งสอนเขาตอบแทน

    ปัจจุบันนี้วัดไหนที่วันพระยังมีโยมมานอนวัดเป็นประจำบ้างไหมครับ ? ยังโชคดีนะครับที่ยังมี เพราะว่าปัจจุบันสภาพสังคมเป็นสังคมของคนยุคใหม่ ทองผาภูมิคนก็แก่ไปทุกวัน คนหนุ่มสาวไม่ค่อยเข้าวัดครับ จะเข้าเฉพาะตอนจำเป็น ผมต้องใช้วิธีดึงคนเข้าวัด สารพัดวิธีครับ ลองไปดูในเฟซบุ๊กได้ เมื่อถึงเวลาเราอย่าอยากดังครับ ค่อย ๆ สอนโยมไป รู้จักโยมปีละ ๑๐ คน สิบปีผ่านไป ๑๐๐ คนนี้ผลัดกันมา เราก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนแล้วครับ..!

    ตัวอย่างพระเถระที่กระผมชอบยกตัวอย่างที่สุดก็คือหลวงปู่เจ้าคุณพูล (พระมงคลสิทธิการ) วัดไผ่ล้อมครับ หลวงปู่ท่านทันครูบาอาจารย์ทุกรุ่นนะครับ ถ้าตอนที่ผมรู้ความขึ้นมาเลย หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมดังระเบิด กลบทั้งจังหวัดเลย ที่พอจะเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้ ก็มีหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม รุ่นหลังถัดไปก็หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่แตง วัดดอนยอ สิ้นจากยุคนั้นแล้ว หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดกลางบางพระ หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ไม่ต้องโผล่กันสักทีครับ

    จนอายุ ๙๐ กว่า ชื่อเสียงหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อมค่อยปรากฏในยุทธจักร ท่านก็สร้างความดีของท่านไปเรื่อยครับ ไม่ได้ใส่ใจ ไอ้ที่ผมนั่งแบบนี้ ติดนิสัยหลวงปู่พูลมานะครับ ท่านอายุ ๙๐ กว่า นั่งตัวตรงเป๊ะเลย แล้วเป็นอย่างไรครับ ? มีเวลาดังอยู่ไม่กี่ปีก็มรณภาพ เวลามรณภาพ หมายเลขทะเบียนรถที่รับศพ แม้กระทั่งเลขฝาโลงศพ หวยออกได้ทุกตัว กลายเป็นอมตะเถราจารย์ไปเลย เห็นหรือยังครับว่า ท่านเอง ท่านก็ทำความดีไปเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจ จะมีชื่อเสียงเกียรติคุณหรือเปล่า ไม่สนใจ ขอให้รักษาคุณงามความดีของตนเอาไว้เท่านั้น
     
  17. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,693
    ค่าพลัง:
    +26,549
    คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายสร้างตัวเอง เพื่อที่จะช่วยคนอื่นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแล้วกระแสกิเลส กระแสโลกจะลากเราไปหมด แล้วญาติโยมตั้งข้อเรียกร้องกับพระภิกษุสามเณรสูงมาก สิ่งที่เขาหวังก็คือทุกคนเท่ากับเป็นพระอรหันต์นะครับ ปัจจุบันนี้เราก็หันซ้ายบ้าง หันขวาบ้าง..!

    กระผมขอยกตัวอย่างหลวงพ่อโสภา - พระเดชพระคุณพระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ. ๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระงาม (พระอารามหลวง) อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราช เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด กลับจากงานข้างนอกมา ดึกดื่นเที่ยงคืนแค่ไหน ท่านเจ้าคุณอาจารย์ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนถึงจะเข้านอน เที่ยงคืนตีหนึ่งกลับมาก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนถึงจะเข้านอน

    ท่านบอกกับผมว่า "สมัยนี้เราจะไปหวังมรรคหวังผลแบบสมัยพุทธกาลเป็นเรื่องยาก แต่ผมจะทำตัวเป็นพระของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" ของพวกเราเป็นอย่างไรครับ ? พวกท่านทั้งหลายที่มานั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่แล้วปฏิบัติในวัตรโดยครบถ้วน เพราะว่าเราชอบอย่างนี้ แต่ลองดูในวัดของเราสิครับ ไม่ต้องใครหรอกครับ วัดท่าขนุนของผมก็มี ตี ๓ ครึ่ง แทนที่จะพร้อมเจริญกรรมฐาน บางทีตี ๔ ครึ่งยังมาไม่ถึงเลย "มีปัญญาปรับก็ปรับไป ผมมีตังค์จ่าย..!" มันน่าฆ่าให้ตายไหมครับ !?

    แล้วเราเองควรที่จะทำอย่างไรครับ ? ก็ต้องทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างที่สายวัดป่าท่านว่าครับ "ธรรมะอยู่ฟากตาย" แลกกันด้วยชีวิต ตอนแรกครูบาอาจารย์สายวัดป่าท่านบอกว่า ท่านเดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง ผมก็ "อืมม์..จริงหรือ ?" อ่านพระไตรปิฎก พระโสณโกฬิวิสเถระเดินจงกรมจนเท้าแตก เดินไม่ได้ก็คลานไป คนอื่นพระพุทธเจ้าต้องให้เร่งความเพียร แต่พระโสณโกฬิวิสเถระ พระพุทธเจ้าต้องให้ลดความเพียรลง เพราะว่าท่านตั้งใจมากไป จนเลยจุดพอดี

    กระผมเองก็ลองดูครับ เดินจงกรมภาวนา เกือบ ๓ เดือนต่อเนื่องกันทุกวัน
    เริ่มตี ๓ ไปเลิกตอน ๑ ทุ่ม เดินไปเดินมา ทางเดินจงกรมสึกไปเป็นนิ้วเลยครับ ที่เขาบอกเดินจนเป็นร่องนี่เป็นร่องจริง ๆ นะครับ แล้วยิ่งถ้าขยันกวาด ร่องยิ่งลึกเข้าไปใหญ่ เดินไปเดินมา เข้าเดือนที่ ๓ ยังไม่เต็มเดือน ทำไมเท้าคัน ๆ ? พลิกขึ้นมาดู อ้าว..เลือดออก..! เดินจนเท้าแตกจริง ๆ ครับ แตกตอนไหนก็ไม่รู้ ? ไปลองทำดูนะครับ ทำแล้วใครไม่เห็นไม่เป็นไร เป็นเกียรติประวัติของเรา เอาไว้เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง..!
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...