แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าท่านทรงปลงผมเหมือนสงฆ์สาวกหรือไม่ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 20 สิงหาคม 2013.

  1. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147
    แต่ก่อนผมก็ส่งใสเหมือนกันครับว่าพระพุทธองค์ท่านปลงผมหรือไม่ ?
    หรือว่าพระองค์ท่านไว้ผมอยู่องค์เดียวแล้วสั่งให้ทั้งภิกษุและภิกษุณีโกนผมทั้งหมด
    ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องนำหลักฐานมาแย้งกันและต้องเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้
    (ไม่เป็นสาวกภาษิตหรืออรรถกถา)



    ครั้งหนึ่งอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียวครั้น
    แล้วได้ต่อว่าพระผู้มีพระภาคว่า
    "หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ"
    (หลังจากนั้นก็โดนพระพุทธเจ้าสอนกลับไปว่าธรรมอะไรที่ทำให้บุคคลเป็นคนถ่อย)

    อ่านเพิ่มเติมได้ใน พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๒๗๒


    ในครั้งพุทธกาล องคุลีมาลก็ยังเคยตะโกนว่า “สมณะโล้น (พระพุทธเจ้า) หยุดก่อน ๆ”
    และก็จะมีอีกหลายพระสูตรครับ ที่หลายคนเรียกพระพุทธองค์แบบนี้ ว่า สมณะโล้น



    ครั้งนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ครั้นบูชาไฟ บำเรอการบูชาไฟอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา
    ครั้งนั้นแลสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ครั้นบูชาไฟบำเรอไฟแล้วลุกขึ้นจากอาสนะ เหลียวดูทิศทั้งสี่
    โดยรอบด้วยคิดว่า ใครหนอแล ควรบริโภคเข้าปายาสที่เหลือนี้ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็น
    พระผู้มีพระภาคประทับนั่งทรงคลุมพระกายตลอดพระเศียรอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงถือเอาข้าว
    ปายาสที่เหลือด้วยมือซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยมือข้างขวา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงเปิดพระเศียรออก เพราะเสียงฝีเท้าของสุนทริกภารทวาช
    พราหมณ์ ครั้งนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นคนโล้นๆดังนี้แล้ว ปรารถนา
    จะกลับจากที่นั้น ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ดำริว่าแม้พราหมณ์บางพวกในโลกนี้ก็
    เป็นคนโล้น ผิฉะนั้นเราพึงเข้าไปถามถึงชาติ ทีนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้า
    พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านมีชาติอย่างไร ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต



    ก็จะมีครั่งหนึ่งที่พราหมณ์มาขอเข้าเฝ้าพระพุทธ โดยในขณะนั้นมีพระพุทธเจ้าและมีภิกษุแวดล้อมอยู่ประมาณห้าร้อยรูป
    เวลาพราหมณ์เองก็ไม่รู่ว่าพระพุทธเจ้ารูปไหน(เท่าที่ดูจะสังเกตเห็นว่าถ้าพุทธเจ้าไว้ผมจริงพราหมณ์จะรู้ทันทีว่านั้นคือ
    พระพุทธเจ้าเพราะความโดดเด่น) จึงต้องวานให้แถวนั้นพาไปหาถึงรู้ว่านี้คนนี้แหละคือพระพุทธเจ้า


    ยังมีอีก:

    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมชื่อว่า โขมทุสสะของเจ้าศากยะ ในแคว้นสักกะ ฯ
    ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต
    ยังโขมทุสสนิคม ฯ
    สมัยนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ประชุมกันอยู่ในสภา ด้วยกรณียกิจ
    บางอย่าง และฝนกำลังตกอยู่ประปราย ฯ
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังสภานั้น ฯ
    พราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้ว
    ได้กล่าวคำนี้ว่า คนพวกไหนชื่อว่าสมณะโล้น และคนพวกไหนรู้จักธรรมของสภา ฯ
    [๗๒๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิค
    ด้วยพระคาถาว่า ในที่ใดไม่มีคนสงบ ที่นั้นไม่ชื่อว่าสภา คนเหล่าใดไม่กล่าวธรรม
    คนเหล่านั้นไม่ชื่อว่าคนสงบ คนสงบละราคะโทสะ และโมหะแล้วกล่าวธรรมอยู่ ฯ
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์และคฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม
    ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เหมือนหงาย
    ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าคนมี
    จักษุจักเห็นรูปฉะนั้น พวกข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงท่านพระโคดมผู้เจริญกับพระธรรมและพระภิกษุ
    สงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยว่าเป็น
    สรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้ ฯ
    จบอุบาสกวรรคที่ ๒

    พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค


    และก็ยังมีอีกหลายพระสูตรครับที่ชี้ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้านั้นแม้จะเป็นถึงพระศาสดาฯลฯ
    แต่พระองค์โกนผมเหมือนภิกษุและภิกษณีทั้วไป...

    แต่ในอรรถกถาท่านอธิบายไว้ว่าเมื่อพระองค์ตัดพระเกศาแล้ว (ขณะเสด็จออกผนวช)
    พระเกศาที่เหลือม้วนเป็นทักษิณาวัตร ติดอยู่หนังพระเศียร ประมาณ ๒ นิ้ว ไม่ยาวอีกเลยตลอดพระชนมายุ
    (เนื้อหาจริงๆในอรรถกถาอาจไม่ใช่สำนวนนี้ แต่จะคล้าย ๆทำนองนี้)


    แต่เท่าที่ยกมาให้พิจารณากันแล้วพระเศียรของพระองค์จะโกนผมหรือไม่
    ก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระธรรมที่ทรงแสดงเลย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2013
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    พระเกศาของพระพุทธเจ้า สั้นมากเกือบโล้นครับ เพราะองค์ทรงปลงพระเกศาแล้วแต่การปลงพระเกศาไม่ได้ใช้ใบมีดโกน จึงไม่ได้เกลี้ยงเกลา แต่พระเกศายังมีส่วนโคนเล็กน้อย และม้วนเป็นมวยเล็กๆ อยู่อย่างนั้น มองไกลๆก็จะดูเหมือนศรีษะโล้นแต่มีผมติดอยู่ที่ศรีษะเพียงนิดเดียวครับ แม้พระสงฆ์ทั้งหลายเมื่อปลงผมไปแล้วไม่กี่วันผมก็งอกขึ้นมา ตรงๆ ไม่ได้ม้วนตัวดั่งของพระพุทธเจ้า ชาวบ้านก็เรียกว่าพระหัวโล้นคือแค่ผมสั้น จะแบบเกรียนหรือแบบยาวขึ้นมาเล็กน้อยเขาก็เรียกว่าพระหัวโลนเหมือนกันหมดครับ

    ดังนั้นเรื่องพระเกศาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอย่างนี้ครับ สาธุ
     
  3. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147


    ก็ถ้าไม่ได้ใช้ใบมีดโกนแล้วจะใช้มีดหรือของมีคมอะไรละครับ
    แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเมื่อโกนแล้วพระเกศาของพระองค์ยังมีส่วนโคนเล็กน้อย
    ธรรมดามนุษย์เราธรรมดาหลังจากโกนผมไม่นานอีกไม่กี่วันผมก็งอกขึ้นมากันแทบทุกคน
    แล้วที่คุณว่าผมของภิกษุจะงอกออกมาตรงๆ ไม่ได้ม้วนตัวดั่งของพระพุทธเจ้า
    ของดูหลักฐานหน่อยสิครับหรือแค่คุณคิดปรุงแต่งจากความรู้ที่เคยมีมา
    แล้วผมจะบอกว่านั้นอรรถกถา(สาวกภาษิต)หรือพุทธวาจา
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ============

    คนที่ฉลาดถามนี่ก็มีมากจริงๆ งั้นกระผมขอถามคุณบ้างก่อนที่จะตอบคำถาม ให้ ว่า แล้วคุณทราบได้อย่างไรว่ามันจะไม่เป็นเหมือนที่ผมกล่าวแสดงไว้ ขอหลักฐานหรือเหตุผลที่น่าเชื่อถือด้วยครับ หากคุณตอบได้ถูกต้องผมก็จะอธิบายส่วนที่คุณสงสัยให้อย่างกระจ่างครับ สาธุ
     
  5. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147


    ก็ที่ยกมาไม่ใช่หลักฐานเหรอครับ หรือจะให้เอาอรรถกถาที่อธิบายทรงพระเกศาของพระพุทธเจ้า
    ซึ่งเป็นสาวกภาษิตมานำเสนอคุณถึงจะพอใจ พูดออกมาเฉยๆใครก็พูดได้หรอกสำคัญ
    ที่คุณจะอิงคำพูดใครมากกว่า เพราะหลักฐานเดี๋ยวนี้พิสูจน์กันได้แล้วครับ
     
  6. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    สมัยเรียนที่จำได้ เกี่ยวกับมวยผม เป็นเครื่อง

    บ่งบอกถึงฐานันดรอย่างหนึ่ง ตอนที่ทรงออก

    ผนวชพระองค์ทรงตัดแค่มวยผม นั่นก็หมาย

    ถึงทรงสละ ชั้นวรรณะทั้งหมดแล้วครับ

    และตอนที่ทรงบรรลุแล้วในสับปดาห์ที่๗

    ที่๒พี่น้องพานิช ตะปุสสะ กับพันลิกะ นำสัตตุก้อน

    สัตตุผงมาถวายเสร็จ ก่อนกลับได้ทูลขอของที่ระลึก

    พระพุทธองค์ทรงลูบพระเกษาให้ครับ.
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    [COLOR="DarkRed"[SIZE="5"]][/SIZE]๒พี่น้องพานิช ตะปุสสะ กับพันลิกะ นำสัตตุก้อน

    สัตตุผงมาถวายเสร็จ ก่อนกลับได้ทูลขอของที่ระลึก

    พระพุทธองค์ทรงลูบพระเกษาให้ครับ.
    [/COLOR]

    ท่านอภิมาร ตอบแทนแล้วครับ ผมมาช้าไปครับ สาธุ
     
  8. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147


    ๒พี่น้องพานิช ตะปุสสะกับพันลิกะ แค่สะกดชื่อก็ผิดแล้วครับ
    เนื้อความจริงๆมีแค่ ตปุสสะภัลลิกะ มาถวายสัตตุผงและสัตตุก้อนให้พระพุทธเจ้า พอถวายเสร็จก็ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่า เป็นสรณะ สุดท้ายตปุสสะภัลลิกะ ก็ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในโลก แค่นั้นเอง

    ไม่เชื่อก็ไปตรวจในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องตปุสสะภัลลิกะ ๒ พ่อค้า สิครับ
    นี้มีหลักฐานต้นตอพร้อม ไม่ได้ค้นมาจากgoogleหรือตำราแต่งใหม่แล้วถึงค่อยมาตอบ

    แล้วที่อ้างว่าพระพุทธองค์ทรงลูบพระเกษาให้ นั้นแต่งใหม่แล้วครับ
    นี้เหรอครับหลักฐาน โมเมเอาเองหรือปล่าว
     
  9. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    ก่อนอื่นต้องขอโทษครับ...เหตุที่ผิดพลาดเกิดจากผม

    จากการที่สะกดชื่อผิด..จากการไม่ได้ค้นคว้าให้ดีก่อน

    ส่วนเนื้อเรื่องผมก็ได้มาจาก..การ์ตูนพุทธประวัตที่ได้

    รับแจกเป็นธรรมทานมา..ก็ไม่คิดว่าคงจะไม่ได้รับการ

    ตรวจสอบหรือคัดกรองก่อน..ส่วนเรื่องที่จะทราบได้ดี

    ที่สุด..คงน่าจะที่มหามงกุฎและมหาจุฬาเพราะครูบาอาจารย์

    ที่นั่นท่านได้ไปศึกษาและค้นคว้าจริงถึงถิ่น..อย่างเช่นที่

    วัดบวรที่นั่นที่ทราบ..ก็ยังมีเชื้อสายพระพุทธองค์

    ยังอยู่ คงจะได้รับความกระจ่างมากกว่าครับ.
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    บัณฑิต ต้องมีปัญญารู้ตื้นลึกหนาบาง และต้องหัดพิจารณาตามความเป็นจริง

    ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า สิ่งที่อ่านจากตำรา และอ่านจากที่ใด หรือฟังจากใครมา

    ทุกอย่างล้วนมีถูกมีผิด แต่สาระสำคัญเราได้ประโยชน์อะไร

    แต่จากพุทธประวัติ หลายๆที่ก็มีกล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์มอบพระเกศาให้มานพ สองท่านนั้น แม้กระผมอ่านในปริเฉทบริบทสัมโพธิญาณ ก็เช่นกัน

    และหากพิจารณาจากความเป็นจริง เกศาของพระพุทธเจ้าและพระสาวก อาจมีความแตกต่างกัน ตามบารมีลักษณะ แต่หากพิจารณาโดยทั่วไป ผมคนเราทั้งหลายแม้โกนไปแล้วแค่1-3วันก็งอกยาวขึ้นมา ไม่ได้โล้นไม่มีผมตลอด แต่อย่างของพระพุทธเจ้าอาจจะไม่เหมือนผู้อื่นเพราะบารมีที่สั่งสมมาครับ

    แม้ตามพุทธประวัติ ยังมีเรื่องพิศดารอีกหลายอย่าง ที่ฟังดูอ่านดูไม่น่าเชื่อ แต่กระผมเชื่อ เพราะบุญกุศลความดีที่สั่งสมมามาก ย่อมให้ผลแก่ชีวิตในพระชาติสุดท้ายของพระองค์ ไม่ต้องไปมองถึงพระพุทธเจ้า แค่พระโพธิสัตว์ เช่นหลวงปู่ทวด ก็มีอภินิหารมากมายเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งครับ ดังนั้น

    สุดท้ายทุกๆอย่างก็อยู่ที่ปัญญา ศรัทธา ความเชื่อของตน เชื่อแล้วศรัทธาแล้ว เกิดประโยชน์ดีงามอย่างไร ตรงนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่เราต้องให้ความสำคัญเพื่อการปฏิบัติตนที่ดีงามเพื่อประโยชน์ที่ดีงามครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2013
  11. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    สมัยนั้นใช้มีดโกนเอา มีดก็ไม่คมและใหญ่กว่ามีดโกนสมัยนี้มาก ดังนั้นจะให้มันโล้นเกลี้ยงแบบเอา ปัตตาเลี่ยนไถแบบสมัยนี้คงไม่ได้หรอกคะ ลองดูในหนังฝรั่งพีเรียต เวลาเขาเอามีดโกนสมัยก่อนโกนหัวนะ มันโล้นแปล่แบบเดี๋ยวนี้สะที่ไหน



    เหตุที่พระเกศาพระพุทธรูปเป็นรูปหอย
    ในกาลครั้งหนึ่ง ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้นั้น พระองค์ทรงฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ถึงแม้ว่าการปฏิบัติของพระองค์จะยากลำบากมากแค่ไหน พระองค์ก็ทรงใช้ความเพียรพยายามอย่างเต็มที่


    ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสมาทานกัมมัฏฐานอยู่ท่ามกลางแสงแดงอันร้อนจ้า ได้แผดเผาสรีระร่างกายของท่านจนกระทั่งสรีระร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล แต่พระพุทธองค์ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ มิเคยหวั่นไหวต่อธรรมชาติ


    ต่อมาได้มีพวกนก หนู ปู ปลา และหอย ไม่สามารถที่จะดูต่อไปได้ มีพวกหอยกลุ่มหนึ่งได้พากันอมน้ำคลานขึ้นมาบนฝั่ง ไต่เต้าขึ้นสู่สรีระร่างกายของพระองค์ และได้คายน้ำที่อมไว้มาชะโลมร่างของท่านจนเปียกชุ่ม และได้พากันขึ้นไปเกาะบนพระเกศาของพระพุทธองค์เอาไว้ เพื่อกันแสงแดดที่ร้อนระอุ


    จนกระทั่งวันสุดท้าย คือวันที่เจ็ด ที่พระองค์สำเร็จในการปฏิบัติ ตรัสรู้เห็นธรรมอันจะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธองค์ก็ทรงพิจารณาถึงหอยจำพวกนั้นว่า ถึงแม้จะเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่ไร้เดียงสา แต่หอยพวกนั้นก็เปี่ยมล้นด้วยความเมตตากรุณา สมควรที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญให้เป็นตัวอย่างที่ดีงามสืบต่อไป


    พระพุทธองค์ทรงเที่ยวประกาศธรรมะคำสั่งสอนของพระองค์แก่ชาวโลก จนมีสาวกเป็นจำนวนมากมาย ตอนใกล้ที่จะเสด็จปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “หากตถาคตปรินิพพานไปแล้ว บุคคลใดมีความปรารถนาที่จะสร้างพระพุทธสารูปของตถาคต พระเกศา(เส้นผม) ที่จะก่อสร้าง ขอให้บุคคลนั้นสร้างพระเกศาให้เห็นเป็นรูปลักษณะหอยด้วยเถิด เพื่อเป็นอนุสรณ์คุณงามความดีแก่หอยที่เฝ้าคอยอุปัฏฐากตถาคตในครั้งที่ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ก่อนตรัสรู้” ดังนั้น การก่อสร้างพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าตรงพระเกศาของพระองค์จึงนิยมสร้างกันเป็นรูปหอยตราบจนทุกวันนี้


    ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงฝึกการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานนานจนถึง 7 สัปดาห์ติดต่อกัน รวมเป็น 49 วันเต็มๆ ก็ด้วยความเพียรพยายามจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันตผลตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ที่มา หนังสือคู่มือปฏิบัติกัมมัฏฐาน และประวัติการนิมิตรธรรมเจดีย์ของพระภิกษุ นิกร ธมฺมวาที



    ขอเสริมเรื่องวัฒนธรรม ทาง กรีก อินเดีย และแม้แต่ยุโรปในสมัยโบราณ เขานิยม ผม หยักศก ผมเป็นคลื่นๆ แม้แต่สตรียุโรปชั้นสูง มีบันทึกว่าผมสวยต้องเป็นผมหยักศก ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่า พระพุทธรูป เองหรือ ตามความเชื่ออินเดีย ศิลปินจึงจินตนาการสร้าง พระพุทธรูปพระพุทธเจ้าห้พระเกศาเป็นก้นหอยแตกต่างจากภิกษุหรือ คนธรรมดา คือ ว่าง่ายๆเป็นลักษณะผมของผู้มีบุญ หรือ ลักษณะดีแบบของทางอินเดีย แม้แต่ผมนางวิสาขาเองก็ต้องปลายเป็นจงอยงอน ลองจินตนาการดู คนจะปลายผมงอนๆ ได้ ก็คือ คนผมหยักศกนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2013
  12. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    โดยปรกติ...เจอข้อความที่เยอะหรือเกิน3บรรทัด

    จะผ่านขี้เกียจอ่าน แต่ได้ลองอ่านแล้ว..deep...แฮะ
     
  13. ไจโกะ

    ไจโกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +1,147



    กัมมัฏฐาน หรือ กรรมฐาน


    ในพระไตรปิฎกภาษาไทย

    มีการใช้คำว่า.....
    สมถกัมมัฏฐาน
    วิปัสสนากัมมัฏฐาน
    อสุภกัมมัฏฐาน
    อานาปานสติกัมมัฏฐาน
    .........

    แต่ในบาลีสยามรัฐใช้ว่า

    อสุกาย จิตฺตํ ภาเวหิ แปลว่า ยังจิตให้เจริญด้วยอสุภะ
    อานาปานสฺสตึ ภาเวนฺโต แปลว่า ยังอานาปานะสติให้เจริญอยู่
    อานาปานสฺสตึ พหุลีกโรนฺโต แปลว่า กระทำให้มากอยู่ซึ่งอานาปานะสติ
    --------------------------------

    มีคำว่ากัมมัฏฐาน ในพระสูตรเดียว ที่พูดกับมาณพ โดยแปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการภาวนาเลย

    หาหลักฐานมาตอบก็ไม่ได้ปรุงแต่งอีกคนแล้วสินะครับ
     
  14. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    3000 กว่าปีจะให้มันมีภาษา มีคำอธิบายให้มันตรงกับศัพท์สมัยนี้เป๊ๆได้อย่างไรงั้น ท่านผู้เจริญโปรดบอกบรรดาผู้น้อยหน่อยซิว่า ปรุงแต่งตรงไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2013
  15. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    มันเป็นเรื่องที่ต้องเถียงกันจริงๆเหรอเนี่ย
     
  16. ช่อมะม่วง

    ช่อมะม่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +331
    ได้ไล่อ่านมาตั้งแต่ต้น ทุกคอมเม้นท์ แต่ละท่านก็มีเหตุผลของแต่ละคน ก็ดีค่ะ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ที่หลากหลาย ช่อมะม่วงเป็นผู้รู้น้อย แต่ชอบศึกษา และชอบปฏิบัติภาวนา ละกิเลสได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามวาระแห่งอารมณ์จิต แต่ก็จะพยายามทำต่อไปจนกว่าลมหายใจจะสิ้นสุด

    เรื่องพระเกศาของพระพุทธองค์ที่ถกเถียงกันมา ช่อมะม่วงก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายหลอกนะคะ

    แต่ความจริงข้อหนึ่ง ที่เราไม่สามารถจะเถียงหรือโต้แย้งกันได้เลยคือ พระพุทธเจ้าท่านมีลักษณะ "มหาบุรุษ" (ผู้มีบุญ) มีความพิเศษอยู่ในพระองค์เอง ๓๒ ประการ ไม่มีผู้ใดจะมีลักษณะนี้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งมีอะไรบ้าง ก็ลองไปค้นคว้าดูกันนะคะ ช่อมะม่วงเองก็ยังทราบไม่หมดและยังไม่ได้ค้นคว้าด้วยค่ะ

    แต่เท่าที่ทราบมาอีกเรื่องหนึ่ง (ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังค่ะ) คือ หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงใช้พระขันธ์ ปลงพระเกศาเมื่อครั้งนั้นที่ริมฝั่งแม่น้ำอะไรสักแห่ง (จำชื่อไม่ได้ค่ะ ) พระเกศาทุกเส้นได้ขมวดเวียนเป็นทักษิณาวัตร (เวียนขวา) เป็นรูปก้นหอย หลังจากนั้นพระเกศาทุกเส้นก็จะอยู่คงที่ไม่ยาวไปกว่านั้นอีกเลย จวบจนดับขันธปรินิพพาน

    กราบขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ หากเรื่องที่ช่อมะม่วงได้พูดไปนี้ มีความผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น

    ด้วยความเคารพค่ะ :'(
     
  17. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะ
    ขนาดพระพุทธรูปสมัยนี้ยังสร้างออกมาไม่เหมือนกันเลย
     
  18. plozer

    plozer สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2015
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    หากใครศึกษาจริงๆจังๆนะครับจะรู้ได้ว่า ที่ จขกท.พูดมาถูกต้องโดยทั้งหมด ผมรู้ศึกดีใจที่มีคนหาข้อเท็จจริงมาเผย ส่วนคนอื่นๆที่โต้แย้งก็ดี ผมอยากบอกว่าบางทีแหล่งที่มาของพวกคุณค่อนข้างผิด อย่าที่บอกว่าพระพุทธองค์ให้สร้างรูปปั้นให้เกศาเป็นก้นหอยนั้น พระองค์เคยตรัสว่า อย่าได้วาด หรือหล่อรูปตถาคตเลย ให้นำเพียงแต่คำสอนจองตถาคตไปปฏิบัติก็พอ. เรื่องเกศาพระองค์ก็เช่นกัน พระองค์ทรงปลงผมตลอดทุกครั้งที่พระองค์เว้นจากการนั่งสมาธิ (ขออนุญาติใช้คำที่เจ้าใจง่ายๆนะครับ). แหล่งที่มาของผมมีแน่ ตอนนี้ผม บวชเป็นพระ บวชมา5เดือนกว่าไม่มาก จะเอาพรรษาให้โยมแม่ ตลอดระยะเวลาที่บวชมา เดือนแรกอ่านบทสวดคาถาต่างๆ หลังจากนั้นก็เลิก ผมศึกษาเพียงพุทธประวัติ และที่บ่อยสุดคือ พุทธวจน. ผมอาจจะศึกษาไม่นาน แต่ผมก็คิดว่าความรู้ที่ผมศึกษามาตรงกับที่ จขกท พูดมาทั้งหมด.

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
    10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

    ท่านสอนเราให้เราใช้ปัญญาของตัวเอง ตรึกและตรองให้ดี ลองคิดดูนะครับว่าเป็นไปได้หรือที่ผมพระองค์จะไม่ทรงยาวอีกเลย แต่พระองค์สามารถทำได้ แต่พระองค์จะทำหรือเปล่า?

    ตัวหนังสือตกหล่นขออภัยมาณ.ที่นี้
     
  19. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ในพระไตรปิฏก มีกล่าวถึง พระเกศา ของพระพุทธเจ้าด้วย แค่ปลงผม รึเปล่า

    2600 ปีก่อน ใครเกิดทันมั่ง นี่ เขาปลงผมกันยังไง

    แต่เท่าที่เห็น พระพุทธเจ้า วางตนของท่านเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศอย่างยิ่ง โดยไร้ที่ติ แม้เพียงเศษเสี้ยวธุลี ว่างั้นไม๊

    ภิกษุทุกรุ่นทุกสมัย จึงพยายามอย่างยิ่ง ที่จะเจริญรอยตาม เปะ เปะ
     
  20. plozer

    plozer สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2015
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ใช่ครับ

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าจงเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้ที่ตรัสนู้แล้ว คำพูดของพระองค์เป็นอกาลิโกครับ ชาวพุทธสมัยนี้ทำเรื่องผิดๆ พวก สวดมนต์ น้ำมนต์ บทสวดต่างจงวางมันทิ้งอย่าไปศึกษาเลย อยากให้ทุกคนศึกษาพุทธวจนครับ^^มิเช่นนั้นจงเลิกใช้คำว่า พุทธัง สะระนัง คัชฉามิ เปลียนเป็นสิ่งอื่นที่คุณไปกราบไหว้แทนเช่น พิฆเนตร สะระนังคัชฉามิ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...